วันศุกร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2558

การดูแลบัวก้านในช่วงเดือนเย็น

บัวกระถาง

ในปัจจุบันนี้มีผู้นิยมเลือกซื้อ"บัว" มาปลูกเลี้ยงประดับบ้านกันเป็นจำนวนมาก แต่ปรากฏว่า เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว บัวเหล่านั้นมักจะแห้งและตาย ไปในที่สุด ในเรื่องนี้ ดร.เสริมลาภ วสุวัต มือเก๋าบัวแห่งประเทศไทย จึงขอชี้แนะกระบวนการปลูกเลี้ยงบัวประดับในช่วงฤดูหนาวว่า ในช่วงนี้ตามปกติบัว และไม้น้ำหลายชนิด จะพักการเจริญเติบโต โดยสลัดใบทิ้ง อาหารที่สะสมไว้จะเปลี่ยนสภาพ จากน้ำตาลเป็นแป้ง เพื่อเก็บไว้ในต้น หน่อหรือเหง้า เมื่อหมดฤดูหนาวจะนำอาหารที่สะสมไว้ มาใช้เพื่อการเติบใหญ่ใหม่อีกครั้ง

การสลัดใบของบัว จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพสมดุลในน้ำ ตามปกติเมื่อบัว มีการเจริญเต็มที่และมีใบที่สมบูรณ์ ในช่วงตอนกลางวัน ใบจะปรุงอาหารและระบายออกซิเจนลงในน้ำ ทำให้น้ำสะอาดและเกิดดุลภาค แต่เมื่อมีการสลัดใบทิ้ง ปริมาณออกซิเจนจึงลดลง แต่ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เกิดจากการเน่าเปื่อยสลายของรากบัว หรีอการตายของพืชใต้น้ำ มีเพิ่มขึ้น ซึ่งมีผลให้น้ำในภาชนะที่เลี้ยงบัวเน่าเสีย ทำให้หน่อ หรือเหง้าเน่าตายไปด้วย

ฉะนั้นผู้เลี้ยงบัวประดับ จะต้องหมั่นคอยเก็บซากตะไคร่ สาหร่าย และวัชพืชน้ำ ที่ตายอยู่ในภาชนะบัวออก และเมื่อพบว่าน้ำเริ่มเน่า จะต้องถ่ายน้ำทันที (แต่ถ้าพ้นฤดูหนาวไปแล้ว บัวจะเจริญเติบโตใหม่ ไม่แนะนำให้ถ่ายน้ำบ่อย ๆ) สำหรับผู้ที่เลี้ยงบัวไม่มากนัก จะใช้วิธีเก็บหน่อหรือเหง้าเข้าตู้เย็นในชั้นที่เก็บผัก ซึ่งมีอุณหภูมิระหว่าง 5-10 องศาเซลเซียส เมื่อผ่านพ้นเหมันต์แล้วค่อยนำออกมาปลูกใหม่ก็ได้ หากผู้เลี้ยงบัว ไม่ต้องการเก็บหัวหรือเหง้าไปแช่ ตู้เย็น ใช้ด่างทับทิมละลายน้ำในภาชนะที่ปลูกบัวให้เป็นสีบานเย็น จะพบว่า ภายใน 2 วัน ตะไคร่น้ำ และสาหร่ายที่หลงเหลืออยู่จะตายหมด จนเป็นตะกอนสีน้ำตาลที่ก้นภาชนะ ให้เก็บซากทิ้งและดูดน้ำออก จนเหลือน้ำประมาณครึ่งหนึ่งของภาชนะ จากนั้นเติมน้ำจืดลงไปให้เท่าเดิม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น